ด้วยความมุ่งมั่นที่จะเป็น "ผู้นำการขนส่งปิโตรเลียมและปิโตรเคมี" โดยยึดแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainability Development) เป็นแกนล้อสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ ภายใต้กรอบการดำเนินงานที่สอดคล้องกับมาตรฐานและแนวปฏิบัติสากล บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย (บริษัทฯ) จึงกำหนดนโยบายการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ครอบคลุมมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม บนพื้นฐานความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มและการกำกับดูแลกิจการที่ดี
กลุ่มบริษัท พริมา มารีน กำหนดนโยบายการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ครอบคลุมมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม บนพื้นฐานความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่มและการกำกับดูแลกิจการที่ดี เพื่อมุ่งไปสู่การประกอบธุรกิจที่อยู่ร่วมกับสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างกลมเกลียว
บริษัทฯ ได้คำนึงถึงปัจจัยสำคัญต่างๆ ที่ทำให้บริษัทดำเนินธุรกิจตามหลักธรรมาภิบาล และพัฒนาอย่างยั่งยืนบริษัทฯ จึงจัดทำแผนบริหารผู้มีส่วนได้เสีย (Stakeholder Management) แต่ละกลุ่มที่มีความสำคัญต่อการดำเนินงานของบริษัทฯ เพื่อประเมินความสำคัญและความสัมพันธ์ในห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจ และวิเคราะห์ความเสี่ยงเพื่อคำนึงถึงผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้เสียรอบด้าน เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์กับผู้มีส่วนได้เสียตามหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี ตลอดจนสร้างความตระหนักรู้ให้เกิดแก่พนักงานทุกระดับเพื่อให้เกิดการปฏิบัติอย่างแท้จริง
การวิเคราะห์ผู้มีส่วนได้เสียในห่วงโซ่คุณค่าของธุรกิจ
กลุ่มผู้มีส่วนได้เสีย | ช่องทางการมีส่วนร่วม | ความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสีย | แนวทางการตอบสนองต่อ ความคาดหวังของผู้มีส่วนได้เสีย |
---|---|---|---|
ผู้ถือหุ้น/ผู้ร่วมทุน |
|
|
|
พนักงาน |
|
|
|
เจ้าหนี้ |
|
|
|
คู่ค้า |
|
|
|
ลูกค้า |
|
|
|
คู่แข่งทางการค้า |
|
|
|
หน่วยงานราชการ |
|
|
|
ชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม |
|
|
|
การประกอบธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันฯ ทางทะเลอาจก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเลได้หลายทาง ไม่ว่าจะเป็นมลพิษจากน้ำมัน มลพิษจากสารเหลวมีพิษในระวาง มลพิษจากการขนส่งทางทะเลซึ่งเป็นสารอันตรายที่บรรจุภาชนะ มลพิษจากสิ่งปฏิกูล มลพิษจากขยะ และมลพิษทางอากาศจากเรือ หรือการเกิดอุบัติเหตุระหว่างการขนส่งทำให้น้ำมันรั่วไหลสู่ทะเล แม้จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นน้อยครั้ง แต่สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง โดยเฉพาะระบบนิเวศทางทะเล ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อมนุษย์ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม ด้วยเหตุนี้ ประเทศต่าง ๆ จึงตระหนักถึงความสำคัญในการจัดการปัญหามลพิษต่อสิ่งแวดล้อมจากการขนส่งน้ำมันฯ ทางทะเล โดยมีการออกกฎหมายควบคุมมาตรฐานและความปลอดภัยในการเดินเรือและการควบคุมมลพิษ รวมไปถึงการให้ความร่วมมือระหว่างประเทศในการกำหนดมาตรฐานการเดินเรือด้วย
องค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Organization: IMO) จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญในการกำหนดและผลักดันให้มีกฎหมายระหว่างประเทศในการป้องกันมลพิษจากการเดินเรือ ได้แก่ อนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันมลพิษจากเรือ (International Convention for Prevention of Pollution from Ships) ค.ศ. 1973 ซึ่งต่อมาได้ถูกแก้ไขโดยพิธีสาร ค.ศ. 1978 และเป็นที่รู้จักทั่วไปในนามอนุสัญญา MARPOL 73/78 ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการป้องกันและลดมลพิษที่เกิดจากเรือไม่ว่าจะเป็นมลพิษที่เกิดขึ้นจากการเดินเรือตามปกติ (routine operations) หรือที่เกิดจากอุบัติเหตุก็ตาม
ในฐานะที่การดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ อยู่ภายใต้การกำกับดูแลขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Organization: IMO) โดยผ่านทางรัฐเจ้าของธงเรือดังกล่าวนั้น กลุ่มบริษัทฯ ให้ความสำคัญและปฏิบัติตามข้อกำหนดและกฎหมายของหน่วยงานกำกับดูแลทั้งภายในและภายนอกประเทศอย่างเคร่งครัดมาตลอด เพื่อให้เกิดการกำกับดูแลกิจการของบริษัทและกลุ่มบริษัทที่ดีและยั่งยืน
แนวทางการจัดการ
ในการนี้ กลุ่มบริษัทฯ จึงมีการวางแผนร่วมกันอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ปฏิบัติงานได้ตามอนุสัญญาระหว่างประเทศดังกล่าวได้อย่างถูกต้อง และสามารถติดตั้งระบบบำบัดน้ำอับเฉาที่เป็นไปตามมาตรฐาน IMO สำหรับเรือเดินทะเลระหว่างประเทศที่ขนส่งในน่านน้ำสากล โดยพิจารณาการติดตั้งระบบบำบัดน้ำอับเฉาร่วมกันอย่างรอบด้านของเรือแต่ละลำ อาทิ รอบระยะเวลาการสำรวจเพื่อต่ออายุเรือ (Renewal Survey) ตามเอกสารใบสําคัญรับรองระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันมลพิษจากน้ำมัน (International Oil Pollution Prevention Certificate : IOPP) และตามรอบระยะเวลาการซ่อมบำรุงและการนำเรือเข้าอู่ของกลุ่มบริษัทฯ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงานด้วย
ผลการดำเนินการ
ปัจจุบัน มีเรือจำนวน 3 ลำในกองเรือของกลุ่มบริษัทฯ ติดตั้งระบบบำบัดน้ำอับเฉา (Ballast Water Management System: BWMS) โดยการติดตั้งระบบดังกล่าว กลุ่มบริษัทฯ พิจารณาดำเนินการติดตั้งบนเรือเดินทะเลระหว่างประเทศตามวงรอบของการนำเรือเข้าอู่ต่อไป
แนวทางการจัดการ
ในการนี้ กลุ่มบริษัทฯ มีการดำเนินการรองรับสถานการณ์ตามมาตรการ IMO2020 ซึ่งกลุ่มบริษัทฯ มีนโยบายเปลี่ยนมาใช้เชื้อเพลิงที่มีค่ากำมะถันต่ำ (Low Sulphur Fuel Oil : LSFO) ไม่เกินร้อยละ 0.5 โดยน้ำหนักของกำมะถันในเชื้อเพลิงเรือ สำหรับกลุ่มเรือที่ให้บริการหรือมีความจำเป็นต้องขนส่งในเส้นทางนอกเขตน่านน้ำไทย ให้เป็นไปตามองค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Organization : IMO) ทุกประการ รวมถึงการควบคุมติดตามประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ที่มีการปรับเปลี่ยนมาใช้เชื้อเพลิงที่มีค่ากำมะถันต่ำดังกล่าว
ผลการดำเนินการ
กลุ่มบริษัทฯ มีการประกาศใช้น้ำมันเตากำมะถันต่ำไม่เกิน 0.5% โดยน้ำหนักเพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงในเรือ ตั้งแต่วันที่ 25 ธันวาคม 2562 เป็นต้นมา เพื่อแสดงเจตนารมณ์การให้ความร่วมมือและการสร้างมาตรฐานในระดับสากล และเรือขนส่งฯ ระหว่างประเทศทุกลำของกลุ่มบริษัทฯ ผ่านการตรวจสอบและได้รับใบสำคัญรับรองระหว่างประเทศว่าด้วยการป้องกันมลพิษทางอากาศครบถ้วนแล้ว
แนวทางการจัดการ
สำหรับการจัดการขยะบนเรือของกลุ่มบริษัทฯ นั้น มีนโยบายติดตั้งเตาเผาขยะบนเรือตามเงื่อนไขที่องค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (International Maritime Organization : IMO) กำหนดให้เตาเผาขยะที่ติดตั้งบนเรือที่ก่อสร้างขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2000 หรือเตาเผาขยะที่ติดตั้งบนเรือตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2000 ต้องได้มาตรฐานตามที่องค์การทางทะเลระหว่างประเทศกำหนดและมีใบสำคัญรับรองที่เรียกว่า IMO Type Approval Certificate ซึ่งจะต้องเผาขยะจะต้องกระทำในเตาเผาขยะเท่านั้น และห้ามไม่ให้เผาขยะบางอย่าง เช่น ของเหลือจากระบบล้างท่อไอเสีย (exhaust gas cleaning system residues) และ polychlorinated biphenyls (PCBs) เป็นต้น
ผลการดำเนินการ
กลุ่มบริษัทฯ มีการติดตั้งเตาเผาขยะตามมาตรฐานตามที่องค์การทางทะเลระหว่างประเทศกำหนดและมีใบสำคัญรับรอง IMO Type Approval Certificate สำหรับเรือทุกลำในกองเรือ