รายได้และกำไรสุทธิจากการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง 3 ปีติดต่อกัน ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่มีความอ่อนไหว อันเป็นผลมาจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่นำไปสู่การกีดกันทางการค้าและการพัฒนาด้านเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา และความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซียที่ยังยืดเยื้อตามด้วยสงครามระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาส ที่นำไปสู่การผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลกอย่างต่อเนื่อง สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของโครงสร้างธุรกิจของบริษัทฯ ที่เข้มแข็ง จนสามารถต้านทานผลกระทบที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ และสร้างผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้แก่ผู้ถือหุ้นได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ สำหรับการขายเรือเก่าที่มีอายุครบการใช้งาน บริษัทฯ จะเลือกเวลาในการขายให้สอดคล้องกับช่วงที่เรือเก่าถึงเวลาจะต้องเข้าอู่ซ่อมเพิ่มเติมและความพร้อมของเรือที่จัดหาใหม่เพื่อทดแทนเรือเก่า ควบคู่กับการพิจารณาถึงราคาเรือเก่าที่อ้างอิงราคาเหล็กในตลาดโลก เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดเนื่องจากเรือเก่าที่ครบอายุการใช้งานส่วนใหญ่จะถูกขายเป็นเศษซาก (Scrap) ทั้งนี้ในปี 2567 บริษัทฯ ขายเรือเก่าขนาดเล็กออกไป 1 ลำ ในราคาทุน โดยคาดว่าในปี 2568 จะขายเรือเก่าออกอีก 1-2 ลำ
ปี 2567 บริษัทฯ ให้ความสำคัญในการลงทุนจัดหาเรือเพิ่มซึ่งจะทยอยเข้าให้บริการตั้งแต่ปี 2568 ภายใต้สัญญาระยะยาว และการเสริมประสิทธิภาพของบริษัทฯ ในด้านการตลาดและการให้บริการลูกค้าในต่างประเทศ เพื่อให้บริษัทฯ บรรลุเป้าหมายระยะยาวตามแผนกลยุทธ์ที่วางไว้ดังนี้
ธุรกิจ OSV
- ลงทุนต่อเรือ Hybrid Crew Boat 2 ลำเพื่อให้บริการลูกค้าในตะวันออกกลาง โดยจะให้บริการตั้งแต่มกราคม 2568 และเรือ Crew Boat ที่ออกแบบพิเศษให้ประหยัดพลังงานอีก 2 ลำ สำหรับให้บริการแก่ลูกค้าในประเทศ
- ลงทุนปรับปรุงใหญ่ เพื่อเพิ่มมาตรฐานเรือ AWB ที่มีอยู่เดิม ให้พร้อมสำหรับต่อสัญญาให้บริการช่วงกลางปี 2568 ในอัตราที่สูงขึ้น
- ลงทุนปรับปรุงดัดแปลงเรือ Aframax เดิมที่ให้บริการขนน้ำมันดิบระหว่างประเทศให้เป็นเรือขนส่งและกักเก็บน้ำมันดิบสำหรับแท่นขุดเจาะน้ำมันกลางทะเล หรือ Floating Storage and Offloading “FSO” เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าในประเทศภายใต้สัญญาระยะยาว 5 ปี + 5 ปี ตั้งแต่ไตรมาส 1/2568 ซึ่งจะทำให้ธุรกิจ OSV มีรายได้ที่แน่นอนระยะยาวเพิ่มขึ้น
ธุรกิจเรือ PCT
- ลงทุนจัดหาเรือขนส่งผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีเพิ่ม 1 ลำในปี 2567 ทำให้บริษัทฯ มีเรือขนส่งปิโตรเคมีรวมทั้งหมด 9 ลำ สำหรับให้บริการแก่ลูกค้าในประเทศมาเลเซีย เวียดนาม และอินโดนีเซีย เป็นหลัก
- สั่งต่อเรือขนส่งน้ำมันในประเทศใหม่ ซึ่งออกแบบให้มีประสิทธิภาพสูง มีอัตราการใช้เชื้อเพลิงต่ำลง และมีระวางบรรทุกมากขึ้นจำนวน 6 ลำ เพื่อทยอยทดแทนเรือเก่าที่จะครบอายุการใช้งานในอีก 1-2 ปี ข้างหน้า ซึ่งจะทำให้กองเรือขนส่งน้ำมันในประเทศทั้งหมด 29 ลำ สามารถรองรับความต้องการภายในประเทศที่จะเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป และจะสร้างความพึงพอใจให้แก่ลูกค้าได้มากขึ้นจากความทันสมัยและประสิทธิภาพในการประหยัดพลังงานของกองเรือ
ธุรกิจเรือ FSU
- ลงทุนจัดหาเรือ VLCC เพิ่ม 1 ลำเพื่อเริ่มให้บริการแก่ลูกค้าบริษัทผู้ค้าน้ำมันข้ามชาติตั้งแต่มีนาคม 2568 โดยที่ บริษัทฯ กำหนดนโยบายให้เรือ FSU ทั้งหมด 5 ลำ ให้บริการผู้ค้าน้ำมันที่ใช้เรือในการเก็บและผสมน้ำมันสำเร็จรูปเพื่อขายให้แก่ผู้ใช้ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเรือสินค้าที่มาเติมน้ำมันเชื้อเพลิง (Bunker) ในประเทศสิงคโปร์ ดังนั้นรายได้จากเรือ FSU จึงมีเสถียรภาพเมื่อเปรียบเทียบกับการให้บริการกับลูกค้าที่ใช้เรือ FSU กักตุนน้ำมันเพื่อเก็งกำไรจากการผันผวนของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก
การเสริมศักยภาพการตลาดและการบริหารจัดการ
- ดำเนินการเพิ่มและพัฒนาบุคลากรด้านการตลาดเพื่อเสริมศักยภาพในการขยายฐานลูกค้าในต่างประเทศ และการพัฒนาองค์ความรู้ ยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยและการดูแลตรวจสอบสถานภาพความพร้อมของเครื่องจักรและอุปกรณ์บนเรือทุกจุด พร้อมกับสร้างแรงจูงใจให้ผู้ปฏิบัติงานบนเรือทุกระดับ ในการช่วยกันป้องกันการเกิดอุบัติเหตุและลดการผิดพลาดในการปฏิบัติงาน ซึ่งส่งผลให้บริษัทฯ สามารถรักษามาตรฐานในการบริหารจัดการกองเรือไว้ได้อย่างดีและต่อเนื่อง ถึงแม้ว่ากองเรือทั้งหมดของบริษัทฯเพิ่มขึ้นจาก 56 ลำในปี 2564 เป็น 65 ลำในปี 2567แล้วก็ตาม
- ในปี 2567 บริษัทฯ ได้รับการยอมรับได้ด้านการบริหารจัดการเรือทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชนซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าซึ่งเป็นผู้ค้ำน้ำมันรายใหญ่ดังนี้
- ได้รับรางวัล IESG Safety Award 2024 ซึ่งจัดโดยสมาคมอนุรักษ์สภาพแวดล้อมของกลุ่มอุตสาหกรรมนํ้ามัน (IESG) ในด้านต่างๆ รวม 6 รางวัล
- ได้รับการประเมินประสิทธิภาพการจัดการด้านความปลอดภัยของเรือบรรทุกน้ำมัน ซึ่งจัดโดยกลุ่มผู้ค้าน้ำมันข้ามชาติและผู้ค้ำนำมันรายใหญ่ในประเทศ เช่น ปตท. เชฟรอน เชลล์ โดยใช้ระบบการตรวจเรือ Ship Inspection Report Program (SIRE) ที่มีมาตรฐานสูง และเป็นที่ยอมรับในระดับสากลในระดับดีมาก ซึ่งชี้ให้เห็นถึงมาตรฐานการดูแลรักษาสภาพเรือ ความพร้อมของอุปกรณ์และประสิทธิภาพการบริหารด้านการจัดการเกี่ยวกับความปลอดภัยของเรือของบริษัทฯ ที่อยู่ในระดับสากลเป็นที่ยอมรับของลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศ
- ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมด้านการให้บริการที่มีประสิทธิภาพเชื่อถือได้ ทั้งด้านการบริการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัยของสินค้า ความแน่นอนด้านตารางเวลา คุณภาพของเรือและผู้ปฏิบัติงานบนเรือ จากกลุ่มลูกค้าของบริษัทฯ เช่น ปตท.สผ. ไทยออยล์ IRPC เป็นต้น
- สำหรับการบริหารจัดการด้านการเงิน บริษัทฯ ให้ความสำคัญในการควบคุมวินัยทางการเงินและวินัยการลงทุนอย่างเคร่งครัด โดยการวิเคราะห์ พิจารณาผลตอบแทน และความเสี่ยงของโครงการลงทุนอย่างละเอียดรอบคอบในทุกมิติ ทำให้บริษัทฯ ได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการเงินต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ ทั้งด้านเงินทุนโครงการและเงินทุนหมุนเวียนซึ่งทำให้บริษัทฯ สามารถจัดสรรเงินทุนหมุนเวียนเพื่อซื้อหุ้นคืน (Treasury Stock) ในปี 2567 เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารทางการเงินของบริษัทฯ ด้วย คณะกรรมการจึงขอขอบคุณสถาบันการเงินทุกแห่งมา ณ ที่นี้
นอกจากนั้น คณะกรรมการบริษัทฯ ยังได้แต่งตั้งคณะกรรมการกำกับดูแลกิจการที่ดี และการพัฒนาอย่างยั่งยืน เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลให้บริษัทฯ ดำเนินการด้านการบริหารเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่ครอบคลุมทั้งด้านสิ่งแวดล้อม (Environment) สังคม (Social) และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Corporate Governance) หรือ ESG อย่างจริงจัง รวมทั้งการนำนโยบายการพัฒนาอย่างยั่งยืนมาเป็นส่วนสำคัญในการกำหนดกลยุทธ์ทางธุรกิจ ดังจะเห็นได้จากการออกแบบเรือต่อใหม่ที่คำนึงถึงการประหยัดการใช้เชื้อเพลิง การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และให้ความสำคัญในด้านความปลอดภัยและสุขอนามัยของผู้ปฏิบัติงานและผู้ใช้บริการบนเรือ ควบคู่กับการพิจารณาผลตอบแทนการลงทุนเพื่อให้เกิดประโยชน์ที่เหมาะสมและเป็นธรรมต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ทั้งนี้ จากการทำงานในด้านนี้อย่างมุ่งมั่นตั้งใจ ทำให้บริษัทฯ ได้รับรางวัลแห่งความสำเร็จในปี 2567 หลายด้าน ดังนี้
- ได้รับการรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ระดับองค์กร (Carbon Footprint Organization หรือ CFO) จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) เป็นแห่งแรกและแห่งเดียวของประเทศไทยสำหรับกลุ่มบริษัทเรือขนส่งน้ำมัน
- ได้รับคะแนนการประเมินการกำกับดูแลกิจการที่ 5 ดาว หรือ “ดีเลิศ” เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน
- ได้รับการรับรองเป็นแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (Thai Private Sector Collective Action Against Corruption หรือ CAC) เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน
สุดท้ายนี้ ในนามคณะกรรมการบริษัทฯ ผมขอขอบคุณผู้ถือหุ้น ลูกค้า คู่ค้า และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านที่ให้การสนับสนุนการดำเนินงานของบริษัทฯ ด้วยดีเสมอมา และขอบคุณผู้บริหารและพนักงานทุกท่านที่ร่วมมือกันทำงานด้วยความมุ่งมั่น ทุ่มเท ด้วยปณิธานที่จะร่วมมือกันสร้างองค์กรให้เข้มแข็งและเติบโตได้อย่างมั่นคงยั่งยืน ภายใต้กรอบนโยบายด้าน ESG เพื่อให้เกิดประโยชน์ที่เหมาะสมแก่ผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย