ในส่วนของ บริษัท พริมา มารีน จำกัด (มหาชน) ซึ่งประสบความสำเร็จจากการเข้าซื้อกิจการ บริษัท ไทยออยล์ มารีน จำกัด พร้อมกับปรับขยายฐานธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันสำเร็จรูปในประเทศ ธุรกิจ เรือสนับสนุนการขุดเจาะน้ำมันกลางทะเล และธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันดิบระหว่างประเทศให้เติบโตได้อย่าง มีความมั่นคงขึ้นตั้งแต่ปี 2564 จึงได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศดังกล่าวอย่างเต็มที่ โดยในปี 2565 บริษัทฯ สามารถสร้างผลกำไรได้สูงถึง 2,327 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเป้าหมายที่วางเอาไว้และสูงกว่ากำไรสุทธิของปี 2564 ถึงร้อยละ 52
ความสำเร็จในการบริหารจัดการธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2565 เติบโตอย่างก้าวกระโดดในทุกมิติ และเป็นกลไกหลักที่สร้างให้เกิดความสมดุลระหว่างกลุ่มธุรกิจในด้านขนาดและความสามารถในการสร้างรายได้ที่มั่นคงสม่ำเสมอ และทำให้ผลประกอบการรวมของบริษัทฯ มีเสถียรภาพอย่างยั่งยืนในระยะยาวตามเป้าหมายที่วางไว้
ในด้านการสร้างความเจริญเติบโตต่อไปในอนาคต บริษัทฯ ได้วางแผนกลยุทธ์ที่จะเน้นความยั่งยืน ของธุรกิจในประเทศ โดยให้ความสำคัญเพิ่มขึ้นในการบริหารจัดการที่จะนำไปสู่การลด Carbon Footprint ในทุกขั้นตอนของกระบวนการทำงานของบริษัทฯ ซึ่งจะสอดคล้องกับทิศทางของอุตสาหกรรมและความคาดหวังของลูกค้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทข้ามชาติ โดยจะครอบคลุมถึง 1) การลงทุนอย่างรอบคอบและต่อเนื่องใน การปรับเปลี่ยนกองเรือของบริษัทฯ ให้ทันสมัย สามารถลดการใช้พลังงาน และลดก๊าซเรือนกระจกให้เป็นตามกรอบทิศทางความเป็นกลางทางคาร์บอนรวมถึงอายุงานเฉลี่ยน้อยลง 2) การพัฒนาธุรกิจเรือปิโตรเคมีเพื่อรองรับความต้องการของตลาดที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง 3) การผลักดันให้อุตสาหกรรมการเดินเรือในประเทศร่วมมือกันปรับปรุงมาตรฐานการศึกษาวิชาชีพด้านการเดินเรือพาณิชย์ และค่าตอบแทนผู้ปฏิบัติงานทางเรือให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป และสามารถแข่งขันได้กับอุตสาหกรรมอื่นมากขึ้นเพื่อเพิ่มแรงจูงใจให้นักศึกษาเข้าสู่อุตสาหกรรมการเดินเรือพาณิชย์มากขึ้น และ 4) บริษัทฯ จะอาศัยศักยภาพขององค์กรในฐานะผู้นำของตลาดการเดินเรือขนส่งน้ำมันในประเทศที่ให้ความสำคัญเรื่องการรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติอย่างจริงจังที่มีความพร้อมทั้งทางด้านบุคลากรและความเข้มแข็งทางการเงินในการขยายธุรกิจไปสู่ตลาดต่างประเทศมากขึ้น
นอกเหนือจากการสร้างการเติบโตของผลประกอบการแล้ว บริษัทฯ ยังคงให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนในมิติต่างๆ โดยยึดหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Good Corporate Governance) มีธรรมาภิบาลโปร่งใส ตรวจสอบได้ พร้อมกับกำกับดูแลให้บริษัทย่อยทุกบริษัทดำเนินธุรกิจตามหลัก ธรรมาภิบาลด้วยความรับผิดชอบต่อผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่าย ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและสังคมรวมถึงการสนับสนุนต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชันอย่างจริงจัง ทำให้ในปี 2565 บริษัทฯ สามารถรักษาระดับคะแนนการประเมิน การกำกับดูแลกิจการที่ 5 ดาว หรือ “ดีเลิศ” (Excellent CG) และได้รับการรับรองการต่ออายุ ครั้งที่1 สำหรับการเป็นแนวร่วมปฏิบัติของภาคเอกชนไทยในการต่อต้านการทุจริต (Collective Action Coalition Against Corruption หรือ CAC) และในด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน บริษัทฯ ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์กรผู้ริเริ่ม การจัดการก๊าซเรือนกระจก (Climate Action Initiator) ที่จัดตั้งขึ้นภายใต้โครงการเครือข่ายคาร์บอนนิวทรัลแห่งประเทศไทย (Thailand Carbon Neutral Network หรือ TCNN) ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) (Thailand Greenhouse Gas Management Organization (Pubic Organization) หรือ TGO) โดยมีเป้าหมายที่จะสนับสนุนการประสานความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ในนามของคณะกรรมการบริษัท ผมขอขอบคุณคณะผู้บริหารและพนักงานทุกท่านที่ร่วมกันทำงานด้วยความมุ่งมั่นและทุ่มเท จนทำให้บริษัทฯ ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายในปี 2565 และขอขอบคุณท่านผู้ถือหุ้น ผู้มีอุปการคุณ และผู้มีส่วนได้เสีย รวมถึงผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย ที่ได้ให้ความไว้วางใจ และให้การสนับสนุนบริษัทฯ ด้วยดีเสมอมา และขอให้ท่านเชื่อมั่นว่าบริษัทฯ จะดำเนินธุรกิจด้วยโดยยึดหลักธรรมาภิบาลเพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงและเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนต่อไป